การควบคุมฮอร์โมนของรอบเดือน

รอบเดือนสะท้อนถึงการทำงานของระบบไฮโปทาลามัส-ต่อมใต้สมอง-รังไข่ ซึ่งแสดงออกมาในรูปของการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างและการทำงานของระบบสืบพันธุ์ ได้แก่ มดลูก ท่อนำไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก และช่องคลอด แต่ละรอบเดือนจะสิ้นสุดลงด้วยเลือดประจำเดือน ซึ่งวันแรกของรอบเดือนถือเป็นจุดเริ่มต้นของรอบเดือน

ในช่วงแรกของรอบการมีประจำเดือน (ระยะฟอลลิเคิล) FSHที่หลั่งออกมาจากต่อมใต้สมอง ส่วนหน้า จะกระตุ้นการผลิตเอสตราไดออลของ เซลล์เกรนูลูซาในรังไข่ FSH และเอสตราไดออลทำให้เซลล์เหล่านี้ขยายตัวและหลั่งเอสตราไดออลมากขึ้น ฮอร์โมนเหล่านี้จะกระตุ้นตัวรับ LH เอสตราไดออลออกฤทธิ์ที่ เยื่อบุโพรง มดลูกทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นและมีหลอดเลือดมากขึ้น จึงเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ เมื่อฟอลลิเคิลเจริญเติบโต ระดับของอินฮิบินจะเพิ่มขึ้นในฟอลลิเคิลและในเลือด ซึ่งจะมีผลยับยั้งการหลั่ง FSH แบบเลือกสรร

ระดับเอสตราไดออลในเลือดสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงกลางของรอบการมีประจำเดือน (วันที่ 14) กระตุ้นให้ฮอร์โมนLHจากต่อมใต้สมองหลั่งออกมา LH กระตุ้นการตกไข่ (การปล่อยไข่ที่โตเต็มที่จากฟอลลิเคิล) เซลล์ที่เหลืออยู่ในฟอลลิเคิลหลังตกไข่จะสร้างคอร์ปัสลูเทียม ซึ่งจะเริ่มหลั่งโปรเจสเตอโรนและเอสตราไดออล โปรเจสเตอโรนมีผลยับยั้งการหลั่งของอินฮิบิน

ในระยะที่สองของลูเตียล โปรเจสเตอโรนและเอสตราไดออลจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นมากขึ้น หลอดเลือดในเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกขยายตัวมากขึ้น และเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกมีการแบ่งตัวมากขึ้น เซลล์จึงหลั่งสารคัดหลั่ง

ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากการสร้างคอร์ปัสลูเทียม คอร์ปัสลูเทียมจะเริ่มพัฒนาถอยหลังและหลั่งเอสตราไดออลและโปรเจสเตอโรนน้อยลง เมื่อถึงวันที่ 28 ของรอบเดือน ระดับสเตียรอยด์ในรังไข่จะไม่เพียงพอที่จะรองรับการดำรงอยู่ของเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาขึ้นและจะถูกทำลาย ซึ่งนำไปสู่การมีประจำเดือน เลือดจะออกต่อเนื่องเป็นเวลา 3-5 วัน ระดับเอสตราไดออลและโปรเจสเตอโรนที่ต่ำในตอนท้ายของรอบเดือนจะช่วยบรรเทา (ตามหลักการของการตอบรับเชิงลบ) การยับยั้งการหลั่ง GnRH โดยไฮโปทาลามัสระดับ GnRH ในไฮโปทาลามัสจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นการหลั่ง FSH และ LH โดยต่อมใต้สมอง และรอบเดือนก็จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

[ 1 ]