เหตุใดคุณจึงจำเป็นต้องตรวจวัดสมดุลของของเหลว?

เมื่อพักผ่อนภายใต้สภาวะอุณหภูมิที่เหมาะสม สมดุลของเหลวในร่างกายจะอยู่ที่ ±0.2% ของน้ำหนักตัวทั้งหมด ปริมาณของเหลวที่ดื่มในแต่ละวันจะสมดุลอย่างใกล้ชิดกับปริมาณของเหลวที่สูญเสียไปในปัสสาวะ อุจจาระ และเหงื่อ ผ่านการหายใจ และผ่านการสูญเสียของเหลวทางผิวหนังโดยไม่รู้สึกตัว สมดุลที่แน่นหนานี้ต้องอาศัยการบูรณาการสัญญาณอินพุตจากตัวรับออสโมซิสในไฮโปทาลามัสและตัวรับความดันหลอดเลือดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าไปจะตรงกับปริมาณของเหลวที่สูญเสียไปอย่างแม่นยำ

สมดุลของของเหลวถูกควบคุมโดยกลไกที่ส่งผลต่อการขับถ่ายน้ำและโซเดียม รวมถึงความรู้สึกกระหายน้ำ การสูญเสียเหงื่อจะมาพร้อมกับปริมาณพลาสมาลดลงและความดันออสโมซิสเพิ่มขึ้น (เนื่องจากความเข้มข้นของโซเดียมและคลอไรด์ที่เพิ่มขึ้น) การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รับรู้ได้โดยตัวรับหลอดเลือดและตัวรับออสโมซิสในไฮโปทาลามัส ส่งผลให้มีการหลั่งวาสเพรสซิน (ฮอร์โมนต่อต้านการขับปัสสาวะ) จากต่อมใต้สมองเพิ่มขึ้น และเรนินจากไตเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนเหล่านี้ (รวมทั้งแองจิโอเทนซิน II และอัลโดสเตอโรน ซึ่งก่อตัวขึ้นจากกิจกรรมเรนินในพลาสมาที่เพิ่มขึ้น) กระตุ้นการกักเก็บน้ำและโซเดียมโดยไตและกระตุ้นให้กระหายน้ำมากขึ้น เมื่อปริมาณของเหลวที่บริโภคเกินกว่าปริมาณที่สูญเสียไป ปริมาตรและออสโมลาริตีของพลาสมาจะกลับมาเป็นปกติ และไตจะฟื้นฟูสมดุลของน้ำ (กล่าวคือ ของเหลวส่วนเกินจะถูกขับออกไป)

อย่างไรก็ตาม ในบุคคลที่ออกกำลังกาย สมดุลของเหลวในร่างกายมักถูกรบกวน เนื่องจากกลไกการควบคุมความกระหายน้ำไม่สามารถระบุความต้องการของเหลวของร่างกายได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับของเหลวเพียงพอระหว่างออกกำลังกาย