วัยรุ่นหญิงสหรัฐปฏิเสธการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส Human Papillomavirus

นักระบาดวิทยาของสหรัฐฯ พบว่าเด็กสาววัยรุ่นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส Human papillomavirus (HPV) ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกตามคำแนะนำ สำนักข่าว AP รายงาน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้ทำการสำรวจทางโทรศัพท์กับผู้ปกครองของเด็กหญิงอายุระหว่าง 13 ถึง 17 ปี จำนวนกว่า 19,000 คน พบว่ามีเพียง 49% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนป้องกัน HPV อย่างน้อย 1 โดสจาก 3 โดสที่แนะนำ และมีไม่ถึงหนึ่งในสามที่ได้รับวัคซีนครบตามกำหนด

การครอบคลุมการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV ที่สูงที่สุดคือประมาณ 70% อยู่ในรัฐวอชิงตันและโรดไอแลนด์ และต่ำสุดคือประมาณ 29% อยู่ในรัฐไอดาโฮ

ในเวลาเดียวกัน ระดับความครอบคลุมของวัยรุ่นที่ได้รับวัคซีนที่แนะนำอื่นๆ เช่นวัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบวัคซีนบาดทะยักวัคซีนคอตีบและวัคซีนไอกรนก็สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเข้าถึงตัวแทนสองในสามของกลุ่มอายุนี้

ผู้เชี่ยวชาญเผย สถานการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับราคาวัคซีนป้องกันไวรัส HPV ที่สูง และความไม่สะดวกในการฉีด (ต้องไปพบแพทย์ถึง 3 ครั้งภายใน 6 เดือน) แต่สาเหตุหลักเชื่อว่าเกิดจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสาระสำคัญของวัคซีน

เนื่องจากไวรัส HPV ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ โดยปกติแล้ว การฉีดวัคซีนจะทำเมื่ออายุ 11-12 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองหลายคนเชื่อว่ายังเร็วเกินไปที่จะฉีดวัคซีนให้ลูกสาวในวัยนี้ เนื่องจากลูกสาวยังไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ ขณะเดียวกัน ผู้ปกครองหลายคนก็กลัวว่าการฉีดวัคซีนจะมาพร้อมกับการพูดคุยเรื่องกิจกรรมทางเพศ ซึ่งอาจทำให้ลูกยังไม่พร้อม

ด้วยแนวคิดนี้ ผู้เชี่ยวชาญ เช่น Jeff Levi ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่มวิจัย Trust for America's Health เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดตัวแคมเปญการศึกษาขนาดใหญ่ที่เข้มข้น เพื่อต่อสู้กับการตีตราที่เป็นอุปสรรคต่อการป้องกันโรคมะเร็ง

เมลินดา วอร์ตัน โฆษกของ CDC กล่าวว่า "หากเราไม่ทำหน้าที่ให้ดีขึ้นมากนัก เราก็จะทำให้คนรุ่นต่อไปมีความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก"

ตามสถิติ ผู้หญิงอเมริกันราว 12,000 คนเป็นมะเร็งปากมดลูกทุกปี และหนึ่งในสามเสียชีวิตจากโรคนี้

[ 1 ], [ 2 ], [ 3 ], [ 4 ], [ 5 ], [ 6 ], [ 7 ], [ 8 ], [ 9 ]