เด็กเพียง 1% เท่านั้นที่ส่งข้อความ รูปภาพ และวิดีโอที่มีเนื้อหาส่วนตัว

การศึกษาใหม่โดยนักวิทยาศาสตร์หักล้างข้อเท็จจริงที่ว่าการแลกเปลี่ยนภาพถ่ายส่วนตัวระหว่างวัยรุ่นทางอินเทอร์เน็ตหรือผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องแพร่หลาย

จากการศึกษาวิจัยที่เป็นตัวแทนระดับชาติ พบว่าเด็กอายุระหว่าง 10 ถึง 17 ปี เพียง 1% เท่านั้นที่มีรูปถ่ายส่วนตัวของตนเองหรือผู้อื่น

การศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics

การศึกษาครั้งก่อนๆ แสดงให้เห็นว่ามีการแบ่งปันข้อมูลลับๆ ในหมู่วัยรุ่นเป็นจำนวนมาก การศึกษาครั้งใหม่ชี้ให้เห็นว่าการแบ่งปันข้อความหรือภาพที่มีเนื้อหาทางเพศอย่างชัดเจนในหมู่เด็กและวัยรุ่นนั้นค่อนข้างหายาก

“การส่งข้อความที่มีเนื้อหาทางเพศกับวัยรุ่นถือเป็นเรื่องเล็กน้อย โดยทั่วไปไม่ใช่การกระทำอันมีเจตนาร้าย และไม่ถือเป็นเหตุให้ผู้ปกครองเกิดความตื่นตระหนก” คิมเบอร์ลี มิตเชลล์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวแฮมป์เชียร์ หัวหน้าคณะผู้จัดทำผลการศึกษากล่าว

รายงานก่อนหน้านี้พบว่าวัยรุ่น 1 ใน 5 คน หรือร้อยละ 20 เคย "ส่งข้อความทางเพศ" แต่การศึกษาครั้งนี้รวมถึงวัยรุ่นตอนปลายและผู้คนในวัย 20 ปี และวัยรุ่นบางคนนิยาม "ส่งข้อความทางเพศ" ว่าเป็นข้อความที่มีเนื้อหาทางเพศโดยไม่มีรูปถ่ายหรือภาพชุดชั้นใน

ผลสำรวจออนไลน์ของ Associated Press-MTV พบว่าวัยรุ่นอายุ 14 ถึง 17 ปีร้อยละ 7 ส่งรูปถ่ายส่วนตัวของตัวเองให้ผู้อื่น

การศึกษาล่าสุดพิจารณาเฉพาะการแบ่งปันภาพถ่ายส่วนตัวระหว่างเด็กๆ เท่านั้น

นักวิจัยยังทำการศึกษาแยกกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการส่งข้อความทางเพศถึงวัยรุ่น ซึ่งตรงกันข้ามกับรายงานบางฉบับ การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่ามีเด็กเพียงไม่กี่คนที่ถูกดำเนินคดีหรือเป็นผู้กระทำความผิดทางเพศ การศึกษานี้ประมาณการว่ามีการรายงานกรณีการส่งข้อความทางเพศถึงวัยรุ่นประมาณ 4,000 คดีต่อตำรวจทั่วประเทศในปี 2008 และ 2009

ผู้เขียนยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าเด็กส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมในการแลกเปลี่ยนภาพถ่ายทางเพศที่เปิดเผยนั้นกระทำดังนี้:

• เป็นเรื่องตลก
• ในช่วงที่ทั้งคู่ยังคบหาดูใจกันอย่างใกล้ชิด
• อยู่ภายใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด (31%)

มากกว่าหนึ่งในสามของกรณีเหล่านี้ส่งผลให้มีการจับกุม ประมาณหนึ่งในสามของกรณีทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเยาวชน ส่วนผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะถูกจับกุมมากกว่า

การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการส่งข้อความทางเพศอาจมีตั้งแต่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงกรณีที่เป็นอันตรายซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายแรง

ตัวอย่างเช่น กรณีหนึ่งเกี่ยวข้องกับเด็กชายวัย 10 ขวบที่ส่งภาพอวัยวะเพศของเขาไปให้เด็กหญิงวัย 11 ขวบทางโทรศัพท์มือถือ แม่ของเด็กหญิงจึงโทรเรียกตำรวจ ต่อมาตำรวจได้สอบปากคำเด็กชาย และสรุปว่าเด็กไม่เข้าใจถึงขอบเขตการกระทำของเขา และปล่อยให้ผู้ปกครองเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้

คดีอื่นเกี่ยวข้องกับเด็กสาววัย 16 ปีที่โพสต์รูปเปลือยของตัวเองลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กโดยไม่ได้ตั้งใจ เด็กชายวัย 16 ปีจากโรงเรียนของเธอพบรูปภาพดังกล่าวและนำไปแจกจ่ายให้กับผู้คน 100 คน เนื่องจากเธอปฏิเสธที่จะส่งรูปภาพที่เป็นส่วนตัวให้เขาเมื่อเขาขอ ส่งผลให้เด็กชายคนดังกล่าวถูกตั้งข้อหาอาญาและถูกคุมประพฤติ

“ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าตำรวจไม่ได้เข้มงวดเกินไปในการรับมือกับการส่งข้อความทางเพศถึงวัยรุ่น” Janice Walack หัวหน้าคณะผู้จัดทำการศึกษาครั้งที่ 2 กล่าว “เหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ถือเป็นอาชญากรรมกลับน่าวิตกกังวลและน่าตกใจ และจำเป็นต้องมีผู้ปกครองเข้ามาเกี่ยวข้อง”

ในการศึกษาวิจัยครั้งแรก นักวิจัยได้สัมภาษณ์เด็กจำนวน 1,560 คนทางโทรศัพท์โดยได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองระหว่างเดือนสิงหาคม 2010 ถึงเดือนมกราคม 2011 การศึกษาวิจัยครั้งที่สองใช้แบบสอบถามจากกรมตำรวจเกือบ 3,000 แห่งและการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ติดตามผลกับผู้สืบสวนเกี่ยวกับคดีการส่งข้อความทางเพศที่ดำเนินการในปี 2008 และ 2009

“การสำรวจรสนิยมทางเพศของตัวเองเป็นพฤติกรรมปกติของวัยรุ่น และการถ่ายรูปตัวเองและคนอื่นๆ เป็นวิธีหนึ่งในการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง” วาแล็กกล่าว

ดร.วิกเตอร์ สตราสบูร์เกอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวเม็กซิโก กล่าวว่าผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย "ต้องเข้าใจว่าวัยรุ่นถูกโปรแกรมทางระบบประสาทให้ทำสิ่งโง่ๆ" สมองของพวกเขายังไม่พัฒนาเพียงพอที่จะเข้าใจผลที่ตามมาจากการกระทำของตนเอง รวมถึงการส่งข้อความที่มีเนื้อหาทางเพศด้วย

ผู้เชี่ยวชาญปฏิเสธความจำเป็นในการรับผิดทางอาญาสำหรับการกระทำดังกล่าวและเรียกร้องให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมมากขึ้นซึ่งควรพัฒนาคุณธรรมและความรับผิดชอบในตัวบุตรหลานของตน

* การส่งข้อความทางเพศ - การส่งข้อความ รูปภาพ และวิดีโอที่มีลักษณะที่ไม่เหมาะสม