ความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานของคุณขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่

การอาศัยอยู่ในบริเวณที่เหมาะแก่การเดินมีผลดีต่อสุขภาพของคุณ รวมไปถึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานด้วย

จากผลการศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์จากโรงพยาบาลเซนต์ไมเคิลและสถาบันวิทยาศาสตร์การประเมินทางคลินิก พบว่าผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในเขตชานเมืองที่ห่างไกลและขาดการบริการมีความเสี่ยงเป็นพิเศษ พื้นที่เหล่านี้มีลักษณะเป็นถนนที่พัฒนาไม่ดีหรือพัฒนาน้อย และมีความหนาแน่นของประชากรต่ำ

เมื่อเทียบกับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่เจริญรุ่งเรืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัยที่พัฒนาแล้ว พบว่าผู้ที่มาใหม่ประมาณ 50% มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวาน

แม้ว่าวิธีหนึ่งในการป้องกันโรคนี้ได้คือการออกกำลังกาย แต่เราพบว่าสภาพแวดล้อมและสิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลเป็นปัจจัยทำนายความเสี่ยงที่สำคัญ” ดร. จิลเลียน บูธ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อและนักวิจัยที่โรงพยาบาลเซนต์ไมเคิล กล่าว

ดังที่การวิจัยครั้งก่อนแสดงให้เห็น สำหรับผู้อพยพ สิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่สามารถเร่งความเสี่ยงของบุคคลในการเป็นโรคเบาหวานและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนได้

นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปดังกล่าวจากการสังเกตผู้มาใหม่ที่อพยพมายังแคนาดาเป็นเวลา 10 ปี

ภัยคุกคามนี้เกิดขึ้นกับผู้อพยพที่ย้ายจากหมู่บ้านเข้าสู่เมือง เนื่องจากขาดการออกกำลังกายและบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานและน้ำหนักเกินจึงเพิ่มขึ้น

เพื่อระบุพื้นที่ที่เอื้ออำนวยมากที่สุด นักวิทยาศาสตร์ได้คำนึงถึงตัวบ่งชี้ต่างๆ เช่น ที่ตั้งของร้านค้า ความหนาแน่นของประชากร การมีเขตคนเดิน และโครงสร้างของถนน

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าพื้นที่ที่มีเขตคนเดินถนนน้อยที่สุดคือพื้นที่ที่เป็นมิตรกับรถยนต์ โดยทั่วไปจะเป็นพื้นที่ชานเมืองที่ขยายตัวจากเมืองใหญ่ไปสู่พื้นที่ชนบท

“น่าเสียดายที่ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนไม่เดินแม้แต่ระยะทางสั้นๆ อีกต่อไป และเมื่อพัฒนาชุมชน มักไม่เน้นที่เขตคนเดินถนนและโครงสร้างถนนที่สะดวกสบายโดยทั่วไป เราต้องกำหนดลำดับความสำคัญอื่นๆ ก่อน เช่น คนเดินถนน ก่อนนักปั่นจักรยาน และสุดท้ายคือรถยนต์” ดร.บูธกล่าว

นักวิจัยเน้นย้ำว่าโครงสร้างพื้นฐานในเมืองมีความสำคัญไม่น้อยต่อสุขภาพของประชากร