การศึกษาก้าวหน้าความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของเมตฟอร์มินต่อทารกในครรภ์

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาของอเมริกาแสดงให้เห็นว่าเมื่อให้ยาเมตฟอร์มินแก่มารดาในระหว่างตั้งครรภ์ การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์จะช้าลง รวมถึงการเจริญเติบโตของไตที่ล่าช้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและภาวะดื้อต่ออินซูลินที่เพิ่มขึ้นในวัยเด็ก

เมตฟอร์มินซึ่งแพทย์สั่งจ่ายให้กับชาวอเมริกัน 50 ล้านคนในแต่ละปีนั้น ถูกใช้เป็นเวลานานนอกช่วงตั้งครรภ์เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่ปัจจุบันแพทย์สั่งจ่ายยานี้ให้กับสตรีมีครรภ์เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับภาวะก่อนเป็นเบาหวาน เบาหวานประเภท 2 เบาหวานขณะตั้งครรภ์ และโรคอ้วน แม้ว่าเมตฟอร์มินจะมีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของสตรีมีครรภ์และลดโอกาสที่จะมีลูกตัวโตเกินกำหนด แต่แพทย์ก็ยังไม่ค่อยทราบถึงผลกระทบในระยะยาวของยานี้ต่อทารกแรกเกิด

“เป็นที่ทราบกันดีว่าหากหญิงตั้งครรภ์มีภาวะอ้วนและเป็นโรคเบาหวาน ทารกจะมีความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนและเบาหวานมากขึ้น เนื่องจากเมตฟอร์มินใช้กันอย่างแพร่หลายในหญิงตั้งครรภ์ เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจว่ายาตัวนี้มีประโยชน์ต่อทารกในระยะยาวหรือส่งผลที่ไม่พึงประสงค์” เจด ฟรีดแมน รองอธิการบดีฝ่ายโครงการเบาหวานของมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมาและผู้อำนวยการศูนย์เบาหวานฮาโรลด์ แฮมม์ ซึ่งเป็นผู้เขียนร่วมในการศึกษากล่าว

ผลการศึกษาพบว่าเมตฟอร์มินสามารถผ่านรกได้อย่างอิสระและสะสมในไต ตับ ลำไส้ รก น้ำคร่ำ และปัสสาวะของทารกในครรภ์ โดยความเข้มข้นของเมตฟอร์มินจะเกือบเท่ากับในปัสสาวะของมารดา การสะสมนี้เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตที่ล่าช้าของไต ตับ กล้ามเนื้อโครงร่าง หัวใจ และไขมันที่ค้ำยันอวัยวะในช่องท้อง ส่งผลให้ทารกมีน้ำหนักตัวลดลง

เนื่องจากการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ที่จำกัดนั้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคอ้วนและการดื้อต่ออินซูลินในวัยเด็ก ทารกอาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพเพิ่มเติม เช่น ปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นวงจรอุบาทว์ หากไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างตั้งครรภ์ ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นกับทั้งแม่และทารก รวมถึงโรคอ้วนและโรคเบาหวานในเด็กที่กำลังเติบโต อย่างไรก็ตาม เมตฟอร์มินเองก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ก็ตาม

ในอดีต การศึกษาเกี่ยวกับยาในระหว่างตั้งครรภ์มักเน้นไปที่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับทารก โดยเน้นน้อยลงที่การเจริญเติบโตและการเผาผลาญของทารก แม้ว่าเมตฟอร์มินจะไม่ทำให้เกิดข้อบกพร่องแต่กำเนิด แต่ทารกในครรภ์ก็ไม่มีทางขับยาออกจากร่างกายได้เช่นกัน

“ยาหลายชนิดจะผ่านกระบวนการเผาผลาญแบบ ‘ผ่านครั้งแรก’ ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่ตับก่อน ซึ่งจะทำให้ความเข้มข้นของยาลดลงก่อนที่จะกระจายไปทั่วร่างกาย อย่างไรก็ตาม เมตฟอร์มินจะไม่ผ่านกระบวนการผ่านครั้งแรก แต่จะผ่านรก ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับยาในปริมาณเท่ากับผู้ใหญ่” ฟรีดแมนอธิบาย

ทีมวิจัยยังได้ศึกษาว่าอาหารของมารดาส่งผลต่อระดับเมตฟอร์มินของทารกในครรภ์หรือไม่ โดยครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมการทดลองได้รับอาหารปกติที่มีแคลอรีจากไขมัน 15% และอีกครึ่งหนึ่งได้รับอาหารไขมันสูงที่มีแคลอรีจากไขมัน 36% ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าระดับเมตฟอร์มินไม่ได้รับผลกระทบจากอาหาร

“นี่เป็นการศึกษาวิจัยขนาดเล็ก และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อให้เข้าใจผลกระทบของเมตฟอร์มินต่อทารกในครรภ์ได้ดียิ่งขึ้น” ฟรีดแมนกล่าว “1,000 วันแรก ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงอายุ 1 ขวบปีที่สองของชีวิต เป็นช่วงสำคัญสำหรับเราในการต่อสู้กับโรคอ้วนและโรคเบาหวานที่ระบาด”