โรคเบาหวานในแมว

โรคเบาหวานในแมวเป็นโรคที่พบได้บ่อยในแมวซึ่งในที่สุดจะส่งผลต่ออวัยวะทั้งหมด โรคเบาหวานเกิดขึ้นในแมวประมาณ 1 ใน 400 ตัว เป็นผลมาจากการผลิตอินซูลินที่ไม่เพียงพอโดยเซลล์เบต้าของตับอ่อนหรือการตอบสนองที่ไม่เพียงพอของเซลล์ต่ออินซูลิน อินซูลินจะถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง อินซูลินจะออกฤทธิ์ที่เยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อแปลงเป็นพลังงาน หากไม่มีอินซูลิน ร่างกายจะไม่สามารถใช้กลูโคสได้ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง) ในแมวที่เป็นโรคเบาหวาน กลูโคสส่วนเกินจะถูกขับออกทางไต ซึ่งทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น จำเป็นต้องชดเชยการปัสสาวะที่เพิ่มขึ้นด้วยการดื่มน้ำมากขึ้น

โรคตับอ่อนอักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ยาเช่น เมเจสโตรลอะซิเตท (เมกาซี) และคอร์ติโคสเตียรอยด์บางชนิดอาจทำให้เกิดหรือเลียนแบบโรคเบาหวานในแมวได้ โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อแมวทุกตัว แมวพันธุ์พม่าอาจมีพันธุกรรมด้วยเช่นกัน แมวตัวผู้มีความเสี่ยงเป็นสองเท่าของแมวตัวเมีย แมวตัวผู้ที่ทำหมันแล้วซึ่งมีอายุมากกว่า 10 ปีและมีน้ำหนักมากกว่า 15 ปอนด์มีความเสี่ยงสูงสุด

ภาวะน้ำตาลในปัสสาวะคือภาวะที่น้ำตาลอยู่ในปัสสาวะ หากผลการทดสอบปัสสาวะเป็นบวก แสดงว่าสงสัยว่าเป็นโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม แมวบางตัวมีระดับน้ำตาลในปัสสาวะหรือในเลือดสูงเนื่องจากความเครียด ดังนั้นอาจต้องทำการทดสอบซ้ำเพื่อยืนยันผล ภาวะไตทำงานผิดปกติ เช่น ภาวะที่เกิดจากพิษสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและปัสสาวะสูงได้เช่นกัน

คีโตน (ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายของการสลายกรดไขมันอย่างรวดเร็วหรือมากเกินไป) ก่อตัวในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากไม่สามารถเผาผลาญกลูโคสได้ คีโตนในระดับสูงจะนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า ภาวะกรดคีโตนในเลือด ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือ ลมหายใจมีกลิ่นอะซิโตน (มีกลิ่นหวานคล้ายน้ำยาล้างเล็บ) หายใจถี่บ่อย และสุดท้ายอาจถึงขั้นโคม่าในผู้ป่วยเบาหวาน

ในระยะเริ่มต้นของโรคเบาหวาน แมวจะพยายามชดเชยความไม่สามารถเผาผลาญน้ำตาลในเลือดด้วยการกินอาหารมากขึ้น ต่อมา ความอยากอาหารจะลดลงอันเนื่องมาจากโภชนาการที่ไม่ดี ดังนั้น อาการของโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้น ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำปริมาณมาก กินอาหารมาก และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ การตรวจทางห้องปฏิบัติการเผยให้เห็นกลูโคสและคีโตนในปัสสาวะ รวมถึงระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง

ในกรณีที่รุนแรงกว่านั้น อาจมีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน อ่อนแรง ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ขาดน้ำ หายใจลำบาก เซื่องซึม และในที่สุดก็อาจถึงขั้นโคม่าได้ แมวที่เป็นโรคเบาหวานมักไม่เป็นต้อกระจก ซึ่งแตกต่างจากสุนัข อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งมักพบในแมวที่เดินด้วยส้นเท้ามากกว่าเดินด้วยนิ้วเท้า มักพบได้บ่อยหากระดับกลูโคสในเลือดต่ำ

โรคเบาหวานในแมวมี 3 ประเภท แมวที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 1 ต้องได้รับอินซูลินและต้องฉีดอินซูลินทุกวัน เนื่องจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ ในแมวที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ตับอ่อนอาจผลิตอินซูลินได้เพียงพอ แต่ร่างกายของแมวไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้อย่างถูกต้อง นี่คือโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุดในแมว แมวบางตัวอาจต้องฉีดอินซูลินด้วย ในขณะที่แมวบางตัวอาจได้รับยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและอาจต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร แมวที่เป็นโรคเบาหวานประมาณ 70% ต้องได้รับอินซูลินอย่างน้อยในปริมาณเล็กน้อย

เบาหวานชนิดที่สามเรียกว่าเบาหวานชั่วคราว มีแมวที่เป็นโรคเบาหวานและจำเป็นต้องฉีดอินซูลินในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ร่างกายของพวกมันก็ปรับตัวได้และสามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่ต้องฉีดอินซูลิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกมันได้รับอาหารที่มีโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ