สมองของเราสามารถสลับไปมาระหว่างโลกได้

นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่ามีการเชื่อมโยงระหว่างชีวิตหลังความตายกับโลกของเรา และไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้น โดยการทดลองแสดงให้เห็นว่ามันตั้งอยู่ในสมองของเรา

การศึกษาที่ไม่ธรรมดาของนักวิทยาศาสตร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดว่าเหตุใดผู้คนบางคนจึงเห็นภาพอุโมงค์ที่มีแสงสว่างจ้าอยู่ที่ปลายอุโมงค์ มองเห็นทูตสวรรค์ ญาติที่เสียชีวิต และอื่นๆ เมื่อเสียชีวิตทางคลินิก

หลังจากการวิจัยเบื้องต้น ผู้เชี่ยวชาญพบว่าผู้ที่อยู่ในอาการโคม่าหรือหมดสติก็มองเห็นสิ่งที่คล้ายกันอีกด้วย

สตีเฟน ลอรีส์ ผู้เขียนผลงานทางวิทยาศาสตร์และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ติดตามการทำงานของสมอง ผู้ป่วยที่หมดสติก็เป็นหนึ่งในกลุ่มตัวอย่างด้วย โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีกิจกรรมที่บริเวณ "จุดเชื่อมต่อระหว่างขมับและข้างขม่อม" ซึ่งลอรีส์ระบุว่าเป็นจุดที่เชื่อมระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน คือ ก่อนและหลังความตาย

เพื่อนร่วมงานของดร.ลอเรย์สทำการทดลองด้วยตนเองและยืนยันผลการทดลองของเขา โดยแพทย์ระบบประสาทชาวสวิส โอลาฟ บลานเค่อ ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในการตรวจร่างกายหญิงที่เป็นโรคลมบ้าหมู ดร.บลานเค่อใช้ขั้วไฟฟ้าตรวจสมองของหญิงคนดังกล่าวและไปสัมผัสกับบริเวณรอยต่อระหว่างขมับและข้างขม่อมโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อมา หญิงคนดังกล่าวบอกว่าระหว่างทำหัตถการ เธอเหมือนจะออกจากร่างกายของตัวเองและเฝ้าดูว่าแพทย์กำลังทำอะไรอยู่

ดร. เดิร์ก ริดเดอร์ ซึ่งเคยมีอาการหูอื้อร่วมกับต่อมน้ำเหลืองที่ขมับและข้างขม่อม (temporoparietal node ) ของผู้ป่วยรายหนึ่งก็สังเกตเห็นผลลัพธ์ที่คล้ายกัน ชายคนดังกล่าวยังบอกอีกว่าเขาหลุดออกจากร่างกายของตัวเองและสังเกตทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาจากภายนอก ผู้ป่วยรายดังกล่าวกล่าวในภายหลังว่า เขา "หลุดออกไป" เป็นเวลาเพียง 10-15 วินาทีเท่านั้น แต่ครั้งนี้ก็เพียงพอให้แพทย์ตรวจพบกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นของต่อมน้ำเหลืองที่ขมับและข้างขม่อม โดยที่เสียงดังในหูไม่หยุดเลย

หลักฐานการมีอยู่ของวิญญาณในมนุษย์ถูกค้นหาเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ดร.แซม พาร์เนีย ซึ่งร่วมกับเพื่อนร่วมงานตรวจคนไข้ที่กลับมาจาก "โลกอื่น" มากกว่าพันราย ตั้งเป้าหมายที่จะบันทึกช่วงเวลาที่วิญญาณออกจากร่าง ในห้องผู้ป่วย นักวิทยาศาสตร์ได้ติดตั้งชั้นวางเหนือเพดาน โดยวางภาพบางภาพไว้ ภาพทั้งหมดถูกจัดวางในลักษณะที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากเตียง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าหากวิญญาณออกจากร่าง คนไข้ที่กลับมาจาก "โลกอื่น" จะสามารถบอกได้ว่าพวกเขาเห็นอะไรที่นั่น รวมถึงภาพใต้เพดานด้วย การวิจัยของ ดร.พาร์เนียลากยาวไปอีก 2 ปี และเพิ่งมีการตีพิมพ์ข้อสรุปเบื้องต้นในปี 2014

ผลลัพธ์ที่ได้คือ นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจคนไปมากกว่า 2,000 คน ซึ่งทั้งหมดมีอาการหัวใจหยุดเต้น แต่ 330 คนในจำนวนนี้ “ฟื้นคืนชีพ”

ผู้ป่วย 140 รายรายงานว่าเห็นสิ่งต่างๆ หลังจากความตาย และอีก 26 รายระบุว่าพวกเขาสังเกตร่างกายของตัวเองจากภายนอก แต่ดร. พาร์เนียไม่ได้บอกว่าพวกเขาเห็นรูปภาพหรือไม่

คนไข้รายหนึ่งซึ่งอยู่ในภาวะเสียชีวิตทางคลินิกเป็นเวลา 3 นาที เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวอร์ดหลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยความแม่นยำสูงสุด (เสียงของอุปกรณ์ การกระทำของแพทย์ ฯลฯ)

ตามคำกล่าวของแซม พาร์เนีย หัวใจหยุดเต้นก่อนที่สมองจะหยุดทำงานจะผ่านไป 20-30 วินาที เนื่องจากขาดออกซิเจน ส่งผลให้ความจำเสื่อม แต่การที่ผู้ป่วยเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนแม้เพียงนาทีเดียวหลังจากนั้น แสดงให้เห็นว่าวิญญาณมีอยู่โดยแยกจากสมอง ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณต่อไป บางทีวิญญาณอาจค่อยๆ หายไป แต่การที่วิญญาณยังคงมีชีวิตอยู่และจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายได้อย่างน้อยอีก 3 นาทีเป็นข้อเท็จจริง

[ 1 ], [ 2 ], [ 3 ]