อย.เรียกร้องให้จำกัดการใช้ยาปฏิชีวนะในการผลิตปศุสัตว์

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียกร้องให้บริษัทยาช่วยจำกัดการใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์ ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่สืบต่อมายาวนานหลายทศวรรษ ที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเป็นสาเหตุให้เชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาอันตรายแพร่กระจาย

ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนนิซิลลิน มักถูกเติมลงในอาหารและน้ำเพื่อช่วยให้ปศุสัตว์และสัตว์ปีกมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและมีสุขภาพดี นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าการกระทำดังกล่าวทำให้เชื้อโรคที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะเติบโต ซึ่งสามารถแพร่สู่มนุษย์ได้

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มานานหลายทศวรรษ แต่ก็ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากจนถึงขณะนี้ กลุ่มล็อบบี้ด้านเกษตรที่มีอำนาจก็ยังสามารถโน้มน้าวใจสมาชิกสภานิติบัญญัติได้ว่า การผลิตเนื้อสัตว์ในสภาพแวดล้อมที่ทันสมัยนั้นเป็นไปไม่ได้หากไม่มียา รวมถึงยาปฏิชีวนะ

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะอย่าง "รอบคอบ" และเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อให้สัตว์มีสุขภาพดี นอกจากนี้ สำนักงานฯ ยังมีแผนที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ว่าสามารถใช้ยาได้เฉพาะเมื่อมีใบสั่งยาจากสัตวแพทย์เท่านั้น ปัจจุบัน เกษตรกรสามารถซื้อยาได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา

“ขณะนี้ผู้ผลิตเหล่านี้จะได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์ และเราคิดว่านั่นจะเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้แน่ใจได้ว่ายาเหล่านี้จะถูกใช้ยาอย่างเหมาะสม” วิลเลียม ฟลินน์ รองผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพสัตว์ของ FDA กล่าว

แนวทางของ FDA เป็นเพียงคำแนะนำ และหน่วยงานได้ขอให้ผู้ผลิตยาตั้งข้อจำกัดที่จำเป็นตามความสมัครใจ บริษัทยาจะต้องเปลี่ยนฉลากยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้ยาในเชิงพาณิชย์ เช่น การเพิ่มน้ำหนักและการเจริญเติบโตของสัตว์ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรประหยัดเงินได้เนื่องจากลดต้นทุนอาหารสัตว์

ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของยาปฏิชีวนะทั้งหมดที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาใช้ในปศุสัตว์ ทั้งอุตสาหกรรมและรัฐบาลไม่ได้ติดตามว่ามีการใช้ยาเหล่านี้กี่เปอร์เซ็นต์ในการเพิ่มน้ำหนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าส่วนใหญ่ใช้ในวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่ทางการแพทย์

[ 1 ], [ 2 ], [ 3 ], [ 4 ], [ 5 ], [ 6 ]