ยาที่มีแคลเซียมที่ดีที่สุดได้รับการสร้างขึ้นแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้พัฒนายาชนิดใหม่ ที่มี แคลเซียมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งได้รับการวิเคราะห์และพบว่าเป็นยาที่ดีที่สุดจนถึงปัจจุบัน

เป็นเวลา 6 ปีแล้วที่บริษัทจีน "Tiens" มุ่งมั่นในการพัฒนาและผลิตยาชนิดใหม่ที่มีปริมาณแคลเซียมค่อนข้างสูง (ซึ่งเป็นปริมาณที่ผู้ใหญ่ต้องการในแต่ละวัน) หลังจากศึกษาอย่างละเอียดแล้ว ยาที่คิดค้นโดยชาวจีนได้รับการยอมรับว่าเป็นยาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

แคลเซียมเป็นธาตุอาหารหลักที่สำคัญในร่างกายของมนุษย์ สัตว์ และพืช แคลเซียมพบในโครงกระดูก (เนื้อเยื่อกระดูก) และเนื้อเยื่อฟัน แคลเซียมมีส่วนสำคัญในกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างเช่น กระบวนการแข็งตัวของเลือดขึ้นอยู่กับแคลเซียมในร่างกาย นอกจากนี้ กระบวนการต่างๆ ต่อไปนี้ในร่างกายมนุษย์ยังได้รับการควบคุมด้วยความช่วยเหลือของแคลเซียม ได้แก่ การหลั่งฮอร์โมน การหลั่งสารสื่อประสาท การหดตัวของกล้ามเนื้อ

ทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่าความต้องการแคลเซียมต่อวันอยู่ที่ประมาณ 1,000-1,300 มิลลิกรัม และขึ้นอยู่กับอายุ (ในช่วงวัยรุ่น โครงกระดูกของคนเราจะมีการพัฒนาและต้องการแคลเซียมมากขึ้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงมากกว่าในวัยเด็กหรือวัยผู้ใหญ่) นักวิจัยจากสหรัฐอเมริการะบุว่า มีเพียง 10% ของประชากรโลกเท่านั้นที่ได้รับสารอาหารหลักที่สำคัญนี้ในปริมาณที่จำเป็นในแต่ละวัน

แคลเซียมมีความสำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เราทุกคนควรได้รับธาตุอาหารในปริมาณที่ต้องการทุกวัน ควรสังเกตว่าแคลเซียมที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์จากพืชไม่สามารถมีผลเหมือนกับแคลเซียมจากสัตว์ ผลิตภัณฑ์นมและผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยว ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยกระดูกอ่อนและกระดูกเป็นแหล่งแคลเซียมจากสัตว์ที่ดีที่สุด แพทย์ยืนกรานว่าอาหารประจำวันของผู้ใหญ่ทุกคนควรมีแคลเซียมอย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัม (เช่น มีอยู่ในนม 800 มล. ที่มีไขมัน 1.5%) คอทเทจชีสไขมันสูงทำเอง น้ำซุปเข้มข้นที่ทำจากกระดูก เนื้อเยลลี่ หรือแอสปิค เป็นอาหารที่รู้จักกันดีและรับประทานง่ายที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในแต่ละวัน

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 80 ของศตวรรษที่แล้ว องค์การอนามัยโลกได้ประกาศความพร้อมในการประกาศการแข่งขันเพื่อคัดเลือกยาที่ดีที่สุดที่มีแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ ในเวลานั้น ยาที่เภสัชกรรู้จักนั้นร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ จึงไม่มีประสิทธิผลตามที่ต้องการ (หนึ่งเม็ดมีแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งร่างกายดูดซึมได้เพียง 30-35%)