เนื้อเยื่อไขมันของผู้ป่วยเองอาจช่วยรักษามะเร็งสมองชนิดร้ายแรงได้

นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการรักษามะเร็งสมอง ที่คุกคามชีวิต ผู้เชี่ยวชาญวางแผนที่จะใช้เนื้อเยื่อไขมันของผู้ป่วยเองเป็นแหล่งยา ตามแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญ เซลล์ต้นกำเนิด (mesenchymal) จะถูกสกัดจากไขมันของผู้ป่วยและฉีดเข้าไปในสมองโดยตรง

จนถึงปัจจุบัน ได้มีการทดสอบเทคโนโลยีที่คล้ายกันกับสัตว์ฟันแทะในห้องทดลองแล้ว และผลจากการทดลองดังกล่าวทำให้สัตว์ฟันแทะเหล่านั้นมีอายุยืนขึ้น

การรักษาที่คล้ายกันในมนุษย์สามารถทำได้หลังการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก การบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิดจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ในบริเวณห่างไกลของสมองให้หมดสิ้น เซลล์ต้นกำเนิดจากเนื้อเยื่อไขมัน เช่น เซลล์มีเซนไคมอล มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งคือดึงดูดเซลล์ที่ก่อโรคได้ จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เซลล์จึงได้รับความสามารถในการหลั่งโปรตีน BMP4 ซึ่งยับยั้งกระบวนการก่อมะเร็งและมีส่วนร่วมในการควบคุมการพัฒนาของตัวอ่อน

การทดลองทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่าการใช้ยาสามารถหยุดการพัฒนาและการแพร่กระจายของเนื้องอกได้ ส่งผลให้มะเร็งมีรูปแบบที่รุนแรงน้อยลง โดยรวมแล้ว หนูที่ได้รับการบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิดมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 2 เดือน ในขณะที่กลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้รับการรักษามีชีวิตอยู่ได้น้อยกว่า 2 เดือนเล็กน้อย

ในมนุษย์ มะเร็งสมองชนิดรุนแรงได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด การผ่าตัด (เอาเนื้องอกออก) และการฉายรังสี อย่างไรก็ตาม แม้จะรักษาด้วยวิธีต่างๆ หลายวิธี แต่ก็ไม่สามารถยืดชีวิตได้เกิน 1.5 ปีหลังจากตรวจพบโรค

ดังที่ผู้เชี่ยวชาญระบุ จะต้องใช้เวลาวิจัยอีกหลายปีจึงจะสามารถพูดคุยถึงประสิทธิผลของวิธีการรักษามะเร็งด้วยเซลล์ต้นกำเนิดจากไขมันของคนไข้ได้

นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาวิธีต่อสู้กับโรคมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ วิธีการรักษาสมัยใหม่มีผลข้างเคียงมากมายซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลงอย่างมาก

ความก้าวหน้าล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ทำให้สามารถรับมือกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในวัยรุ่นได้สำเร็จ เมื่ออายุได้ 4 ขวบ เด็กชายได้รับการวินิจฉัยที่เลวร้าย หลังจากนั้น เด็กน้อยต้องเข้ารับการรักษาทุกวิถีทาง ตั้งแต่เคมีบำบัดไปจนถึงการปลูกถ่ายไขกระดูกจากญาติสนิท แต่โรคกลับลุกลามมากขึ้น

ความหวังสุดท้ายของทั้งพ่อแม่และแพทย์คือการบำบัดด้วยการทดลองโดยใช้เซลล์ T ภูมิคุ้มกันของเด็กชาย ผู้เชี่ยวชาญได้สกัดเซลล์ภูมิคุ้มกันจากร่างกายของเด็กชายและใส่ยีนใหม่เข้าไป หลังจากนั้นเซลล์เหล่านี้ก็ถูกนำกลับเข้าไปในตัวเด็กชายอีกครั้ง เป็นผลให้เซลล์ที่ดัดแปลงเริ่มพัฒนาอย่างแข็งขันในขณะที่ทำลายเซลล์มะเร็ง ที่น่าสังเกตคือหลังจากการบำบัดนี้ เด็กชายแทบไม่มีผลข้างเคียงใดๆ (ปรากฏเพียงอาการหวัดเล็กน้อยเท่านั้น)

หลังจากการบำบัดภูมิคุ้มกัน ร่างกายของเด็กน้อยได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับมะเร็งด้วยตัวเอง ในเวลาเพียง 2 เดือนของการรักษา ร่องรอยของโรคทั้งหมดก็หายไปจากร่างกายของเด็กน้อย

หลังจากนั้นจึงทำการทดลองภูมิคุ้มกันบำบัดกับอาสาสมัครอีกจำนวนหนึ่งและผลการศึกษาแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี (ผู้ป่วยหายดี 18 รายจากทั้งหมด 21 ราย) ตามคำบอกเล่าของแพทย์ เทคโนโลยีการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวดังกล่าวอาจนำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ภายใน 3-5 ปี