จำนวนเด็กอเมริกันที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จำนวนเด็กอเมริกันที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคออทิสติกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 1 ใน 110 คนในปี 2549 มาเป็น 1 ใน 88 คนในปี 2551

ออทิซึมแสดงอาการออกมาเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากปกติ เด็กบางคนมีออทิซึมในระดับเล็กน้อย (เรียกว่ากลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ ) โดยมักจะพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด เด็กคนอื่น ๆ มีอาการที่ชัดเจนกว่า โดยเด็กกลุ่มนี้จะประสบปัญหาการเข้าสังคมและการสื่อสารอย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว เด็กกลุ่มนี้จะหลีกเลี่ยงการสื่อสารกับผู้อื่น

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของรัฐบาลกลาง ได้ประเมินข้อมูลการสังเกตเด็กวัย 8 ขวบจาก 14 รัฐที่รวบรวมในปี 2551 พบว่าเด็ก 11 คนหรือมากกว่านั้นจากทุกๆ 1,000 คนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคออทิสติก CDC กล่าวว่าโรคออทิสติกพบได้บ่อยกว่าในเด็กผู้ชายถึง 5 เท่า หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ใน 54 คน

โทมัส ฟรีเดน ผู้อำนวยการ CDC กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของการวินิจฉัยโรคออทิซึมอาจสะท้อนถึงเทคนิคการวินิจฉัยที่ดีขึ้น “แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้ดีขึ้น” เขากล่าว “ดังนั้น การที่เด็กออทิซึมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอาจเป็นเพียงสัญญาณของการวินิจฉัยที่ดีขึ้น”

เนื่องจากออทิซึมมักจะปรากฏอาการในช่วงสามปีแรกของชีวิต CDC จึงสนับสนุนให้เด็กๆ เข้ารับการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ และบ่อยครั้ง ตั้งแต่อายุ 1 ปีครึ่ง 2 ปี และ 2 ปีครึ่ง

ซูซาน เฮย์แมน ประธานคณะอนุกรรมการด้านออทิซึมของสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การรอจนกว่าเด็กอายุ 4 ขวบจึงจะวินิจฉัยว่าเป็นออทิซึมนั้นสายเกินไป เธอกล่าวว่า การแทรกแซงตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยให้เด็กที่เป็นโรคนี้ใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ

เฮย์แมนกล่าวว่าผู้ปกครองควรไปพบแพทย์ทันทีหากสังเกตเห็นว่าลูกๆ มีพฤติกรรมผิดปกติ “เด็กที่ไม่ชี้ไปที่สิ่งของหรือหลีกเลี่ยงการสบตากับผู้อื่นเมื่อสื่อสารอาจเป็นออทิสติก”

Autism Speaks ซึ่งเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ที่สนับสนุนผู้ป่วยออทิซึม อ้างว่าผู้ป่วยออทิซึมส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกประมาณ 67 ล้านคน