การสื่อสารเสมือนจริงเป็นสาเหตุหลักของโรคอ้วน

เมื่อไม่นานนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากไอร์แลนด์ได้ทำการศึกษาหลายครั้งและสรุปได้ว่ามีการเชื่อมโยงระหว่างน้ำหนักเกินและการใช้เวลาบนโซเชียลเน็ตเวิร์กบ่อยครั้ง ปรากฏว่าผู้ที่ติดชีวิตออนไลน์มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนมากกว่า

ผู้เชี่ยวชาญชาวไอริชได้ทำการสำรวจทางสังคมวิทยา ซึ่งได้ข้อสรุปที่สอดคล้องกันจากผลการสำรวจดังกล่าว ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเครือข่ายสังคมออนไลน์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว คนสมัยใหม่ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวันในการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ ในขณะที่เวลาที่เหลือที่ใช้ไปกับเวิลด์ไวด์เว็บไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์บ่อยๆ และการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานนั้นส่งผลให้สมรรถภาพทางกายลดลง นอกจากนี้ ผู้ที่มักชอบสื่อสารผ่านระบบเสมือนจริงมากกว่าระบบจริงก็ไม่ชอบเล่นเกมเป็นทีมและใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับอินเทอร์เน็ต

จากการศึกษาครั้งก่อนพบว่าผู้ที่ชอบสื่อสารผ่านระบบออนไลน์มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง แต่แทบจะไม่มีการควบคุมตนเองเลย ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าบุคคลดังกล่าวมักรับประทานอาหารว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยมักจะรับประทานในขณะสื่อสารกับเพื่อนและครอบครัว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคอ้วนไม่ใช่การใช้ชีวิตแบบอยู่ประจำ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญจากเมืองพิตต์สเบิร์กและโคลัมเบียกล่าว

จากการศึกษาล่าสุดในรัสเซียพบว่าประชาชนประมาณ 80% ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการดูภาพยนตร์ ดูซีรีส์ทางทีวี อ่านข่าว หรือคุยกับเพื่อน นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ยังระบุว่าพวกเขาออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทำให้แกดเจ็ตสมัยใหม่หลายๆ ชิ้นสามารถติดต่อกับเพื่อนๆ ได้ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเท่านั้นที่หันมาใช้การสื่อสารผ่านระบบเสมือนจริง แต่ผู้สูงอายุก็นิยมใช้เช่นกัน หลายคนบอกว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ โดยปฏิเสธที่จะทำภารกิจภายในบ้าน อ่านหนังสือ หรือพบปะกับเพื่อนอย่างตั้งใจ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปียอมรับว่าพวกเขาเริ่มใช้เวลาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากขึ้นในช่วงหลัง โดยปฏิเสธที่จะอ่านหนังสือที่น่าสนใจ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสิ่งนี้ส่งผลต่อการพัฒนาสติปัญญาของพลเมืองเป็นหลัก

ในทางกลับกันแพทย์กล่าวว่าโรคอ้วนไม่เพียงแต่ทำให้รูปลักษณ์ภายนอกเสียไปเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งอีกด้วย

ปัจจุบันมีประชากรในประเทศกำลังพัฒนามากกว่าพันล้านคนที่เป็นโรคอ้วน (ไม่นับรวมเด็กและวัยรุ่น) เมื่อเทียบกับปี 1980 จำนวนคนที่น้ำหนักเกินบนโลกเพิ่มขึ้นสามเท่า ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขในระดับรัฐบาล และจำเป็นต้องเริ่มดำเนินการกับประชากรและดำเนินการรณรงค์ต่อต้านโรคอ้วนในลักษณะเดียวกับที่ดำเนินการในเดนมาร์กหรือเกาหลีใต้