ชาวยูเครนหนึ่งในสามเห็นด้วยกับการนำโทษประหารชีวิตกลับมา และไม่ต่อต้านการทำให้การุณยฆาตถูกกฎหมาย

ชาวยูเครนหนึ่งในสามเห็นด้วยกับการกลับมาใช้โทษประหารชีวิต และไม่ต่อต้านการทำให้การุณยฆาตถูกกฎหมาย

เรื่องนี้ได้รับการประกาศโดยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารสถาบัน Gorshenin นาย Vladimir Zastava ในงานแถลงข่าวเมื่อวันนี้ ซึ่งนำเสนอผลการสำรวจทางโทรศัพท์ในหัวข้อ “ศีลธรรมของสังคมยูเครน: ทัศนคติต่อความตาย”

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวอูเครนมากกว่าหนึ่งในสาม (38.4%) เห็นด้วยกับการนำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้สำหรับการก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อบุคคล ประมาณหนึ่งในสี่ (25.7%) เห็นว่ามาตรการลงโทษนี้เป็นที่ยอมรับได้ในกรณีที่ข่มขืนเด็ก และทุกๆ หนึ่งในหก (14.9%) ในกรณีของการผลิตและจำหน่ายยาเสพติด (14.9%) การติดสินบนในระดับใหญ่เป็นพิเศษโดยเจ้าหน้าที่รัฐ (14.3%) 6.7% เชื่อว่าควรใช้โทษประหารชีวิตสำหรับการก่อการร้าย 5.6% สำหรับการขโมยทรัพย์สินของรัฐในระดับใหญ่เป็นพิเศษ 4.2% สำหรับการก่อรัฐประหาร 3.8% สำหรับการพยายามสังหารประมุขแห่งรัฐ 3.2% สำหรับการก่อกบฏ ผู้ตอบแบบสอบถาม 2.9% เห็นด้วยกับการนำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้สำหรับการก่ออาชญากรรมอื่นๆ และ 2.6% พบว่ายากที่จะตอบคำถามนี้ ในขณะเดียวกัน พลเมืองยูเครน 30.8% ต่อต้านการนำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้อีกครั้ง

ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าหนึ่งในสาม (37.1%) คัดค้านการทำให้การุณยฆาตถูกกฎหมายในยูเครนอย่างเด็ดขาด ในขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนเกือบเท่ากัน (36.8%) เห็นว่าการุณยฆาตเป็นที่ยอมรับได้ในกรณีที่เป็นโรคที่รักษาไม่หายซึ่งทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมาน ทุกๆ 1 ใน 6 ของชาวยูเครน (15.7%) เชื่อว่าการฆ่าตัวตายด้วยความช่วยเหลือทางการแพทย์สามารถเกิดขึ้นได้ตามคำร้องขอของบุคคลใดๆ โดยไม่ต้องอธิบายเหตุผลของการตัดสินใจดังกล่าว และ 8.2% ยอมรับว่าการุณยฆาตสามารถใช้ได้หากบุคคลนั้นอยู่ในอาการโคม่าเป็นเวลานาน และ 2.5% ยอมรับว่าในวัยชราเมื่อถึงอายุหนึ่ง ผู้ตอบแบบสอบถาม 5.3% พบว่ายากที่จะตอบคำถามนี้

ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบัน Gorshenin อย่าง Natalia KLAUNIG ระบุว่าในปี 2550 จำนวนผู้ที่ต่อต้านการุณยฆาตมีสูงกว่านี้มากถึง 57%

V. Zastava แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำตอบของคำถามสองข้อแรก และสรุปว่าสังคมยูเครนยอมรับว่าความตายอาจเป็นการลงโทษ แต่ไม่ได้ถือว่าความตายเป็นการปลดปล่อย

ประชาชนชาวยูเครนส่วนใหญ่ (59.7%) ประณามการฆ่าตัวตาย ผู้ตอบแบบสอบถามประมาณหนึ่งในสี่ (26.1%) ไม่ประณาม และ 14.2% พบว่ายากที่จะตอบคำถามนี้

ชาวอูเครนเกือบครึ่งหนึ่ง (45.8%) มักคิดถึงความตายเป็นบางครั้ง ในขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 6 (15.4%) ยอมรับว่าพวกเขาคิดถึงความตายบ่อยครั้ง ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าหนึ่งในสาม (38.8%) กล่าวว่าพวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลย

ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งหนึ่ง (52.3%) เชื่อว่าผู้คนมักยึดมั่นในมาตรฐานทางศีลธรรมโดยอิงจากความเชื่อมั่นภายในของตนเอง ราวหนึ่งในสาม (35.8%) เชื่อว่าผู้คนยึดมั่นในมาตรฐานทางศีลธรรมเพื่อให้ดูดีในสายตาของผู้อื่น คำตอบของคำถามนี้คือ “อื่นๆ” โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 2.4% และ 9.5% พบว่าตอบยาก

V. Zastava ตั้งข้อสังเกตว่าโดยรวมแล้วมีเพียงครึ่งเดียวของชาวอูเครนที่เชื่อว่าควรยึดมั่นตามมาตรฐานทางศีลธรรมบนพื้นฐานของความเชื่อมั่นภายใน และตัวเลขนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2550

ตามที่ N. Klauning กล่าว มีแนวโน้มในปัจจุบันว่าการมีศีลธรรมไม่ได้เป็นที่นิยมอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากศีลธรรมไม่ได้มีส่วนช่วยในการหาเงิน

V. Zastava ยังเน้นย้ำด้วยว่าทุกวันนี้สังคมยังคงต้องประเมินค่านิยมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติต่อเรื่องเพศและผู้ที่มีรสนิยมทางเพศที่ไม่เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีกำลังเปลี่ยนแปลงไป

"หากจะพูดให้เห็นภาพ สังคมของสหภาพโซเวียตก็เหมือนกับกลุ่มเด็กอนุบาล และคุณคงรู้ดีว่าสังคมปิดตาต่อปัญหามากมายที่เป็นจริงและคลุมเครือ เช่น เชื่อว่าเรื่องเพศ การค้าประเวณี หรือรสนิยมทางเพศที่ไม่เป็นไปตามขนบธรรมเนียมนั้นไม่มีอยู่จริง ทุกวันนี้ สังคมได้ก้าวไปสู่กลุ่มเตรียมความพร้อม ปัญหาต่างๆ ได้รับการยอมรับแล้ว แต่ยังคงมีข้อห้ามอยู่มากพอสมควร อะไรจะเกิดขึ้นในอีกสิบปีข้างหน้า เราคงต้องรอดู" V. Zastava กล่าว

การสำรวจทางโทรศัพท์เรื่อง "ศีลธรรมของสังคมยูเครน: ทัศนคติต่อความตาย" จัดทำโดยสถาบัน Gorshenin ตั้งแต่วันที่ 11 ถึง 13 ตุลาคม โดยผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 1,000 คนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปได้รับการสัมภาษณ์ในศูนย์กลางภูมิภาคทั้งหมดของยูเครน เมืองเคียฟและเซวาสโทโพล ตามกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่ม โดยกำหนดโควตาตามภูมิภาคที่อยู่อาศัย เพศ และอายุของผู้ตอบแบบสอบถาม ค่าความคลาดเคลื่อนของความเป็นตัวแทนของการศึกษาไม่เกิน +/- 3.2%