อาหารสแกนดิเนเวียมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด

อาหารของชาวสแกนดิเนเวียมีพื้นฐานมาจากการบริโภคปลาในปริมาณมาก (สามครั้งต่อสัปดาห์) ผัก และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ จากการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญพบว่าอาหารดังกล่าวช่วยรับมือกับผลเสียของโรคอ้วน โดยเฉพาะการป้องกันการอักเสบ ซึ่งมักส่งผลต่อผู้ที่มีน้ำหนักเกิน

ด้วยความช่วยเหลือของอาหารสแกนดิเนเวีย การแสดงออกของยีนที่อยู่ในเซลล์ไขมันใต้ผิวหนังจะถูกยับยั้งในร่างกาย ยีนเหล่านี้ทำให้เกิดการอักเสบซึ่งกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ หลังจากที่บุคคลนั้นรับประทานอาหารสแกนดิเนเวีย ความเสี่ยงในการเกิดหลอดเลือดแข็ง ลิ่มเลือด รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดก็ลดลง

ผู้เชี่ยวชาญได้คัดเลือกอาสาสมัครกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยทั้งชายและหญิงวัยกลางคน ผู้เข้าร่วมแต่ละคนมีอาการของกลุ่มอาการเมตาบอลิก (โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน)

นักวิทยาศาสตร์แบ่งผู้เข้าร่วมออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกอาสาสมัครต้องรับประทานอาหารตามแบบสแกนดิเนเวีย ส่วนกลุ่มที่สองผู้เข้าร่วมต้องรับประทานปลาในปริมาณเล็กน้อย อาหารที่มีกากใยต่ำ และน้ำมันในปริมาณมาก

การศึกษาใช้เวลา 18-24 สัปดาห์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้บันทึกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในน้ำหนักของผู้เข้าร่วม แต่ตัวบ่งชี้อื่น ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญสังเกตว่าการทำงานของยีนเนื้อเยื่อไขมันทั้ง 128 ยีนมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงออกของยีนที่รับผิดชอบต่อการอักเสบลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

ในโครงการวิจัยอีกโครงการหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีอาหารใดที่ใช้ได้กับการลดน้ำหนักทุกรูปแบบการเลือกอาหารที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจในหลักการว่ายีนทำงานอย่างไร จิตวิทยาของแต่ละบุคคลในแต่ละกรณี ทั้งหมดนี้มีความสำคัญพื้นฐานต่อทัศนคติของบุคคลที่มีต่ออาหาร

ลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลทำให้คนเรากินอาหารเกินมาตรฐาน ในการศึกษานี้ ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุประเภทของผู้คนไว้ 3 ประเภท ได้แก่

1. ผู้ที่ชอบทานอาหาร (เนื่องจากร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนไม่เพียงพอ จึงไม่รู้สึกอิ่ม)
2. ผู้ที่คิดถึงเรื่องอาหารอยู่ตลอดเวลา (โดยส่วนใหญ่พบว่าคนประเภทนี้มี “ยีนโรคอ้วน”)
3. ทาสของอารมณ์ คือผู้คนที่พยายามแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยความช่วยเหลือของอาหาร

เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว ผู้คนในแต่ละกลุ่มตอบสนองต่ออาหารแตกต่างกันออกไป

ผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบทฤษฎีของตนกับอาสาสมัคร 75 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม (กลุ่มละ 25 คน)

ระยะเวลาในการศึกษา 3 เดือน

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนในระดับพันธุกรรม เมื่อลักษณะน้ำหนักเกินนั้นได้รับอิทธิพลจากยีนหลายตัวที่ทำให้เกิดผลกระทบที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับกลุ่มคนที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนประเภทที่สอง ผู้ที่มีความคิดเรื่องอาหารตลอดเวลาควรจำกัดปริมาณแคลอรี่ในอาหารให้เหลือ 800 แคลอรี่เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในวันอื่นๆ สามารถรับประทานอาหารได้โดยไม่จำกัด

ผู้รับประทานอาหารควรใส่ใจกับปลาและเนื้อสัตว์ แต่ควรหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรต (ขนมปัง มันฝรั่ง)

ทาสของอารมณ์ต้องการการสนับสนุนมากกว่าอาหารประเภทใดๆ