ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อชีวิตส่วนอื่น ๆ ของคน ๆ หนึ่ง

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียและศูนย์การแพทย์โมเลกุลและการบำบัดได้ทำการศึกษาอิทธิพลของเพศ ความเครียด ประสบการณ์ชีวิต และสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่อจีโนมของมนุษย์

ผลการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Science

นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นหาว่าสิ่งแวดล้อมและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเกิดของบุคคลนั้นมากเพียงใด และปีแรกของชีวิตกำหนดชะตากรรมในอนาคตของบุคคลนั้นอย่างไร

ผู้เชี่ยวชาญหันมาสนใจเอพิเจเนติกส์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของยีน เป็นที่ทราบกันดีว่า การเมทิลเลชันของโมเลกุล DNA ในจีโนมของมนุษย์ทำให้เกิดการเปิดและปิดยีนอย่างเลือกสรร ผู้เชี่ยวชาญพบว่ากระบวนการนี้ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ที่บุคคลมีในวัยเด็ก

“มีความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของเครื่องหมายทางเคมีกับลักษณะทางจิตวิทยา สังคม และกายภาพของบุคคล” ดร.ไมเคิล โคบอร์ ผู้เขียนหลักกล่าว “ผู้คนที่เคยประสบกับความยากจนโดยตรงจะมีระดับเมทิลเลชันของดีเอ็นเอที่ต่างกันจากผู้คนที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เจริญรุ่งเรืองและไม่ได้ประสบกับความยากจนอย่างเต็มที่ แม้ว่าผู้คนที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันจะมีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่เท่าเทียมกันก็ตาม”

ซึ่งหมายความว่าประสบการณ์ที่ได้รับในวัยเด็กจะทิ้งร่องรอยไว้ในโครงสร้างโมเลกุลของ DNA และส่งผลต่อพฤติกรรมและวิธีคิดของผู้ใหญ่ อิทธิพลนี้เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าธรรมชาติของการเมทิลเลชันมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับธรรมชาติของการแสดงออกของยีนต่างๆ

ปริมาณของฮอร์โมนความเครียดที่ผลิตในผู้ใหญ่ยังส่งผลต่อรูปแบบการเมทิลเลชันของ DNA ด้วย แต่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าอะไรเกิดก่อน ไก่หรือไข่ นั่นคือ ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญในการเมทิลเลชันหรือเป็นสารเคมีตามธรรมชาติที่ส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนความเครียด

ดร. โคบอร์และเพื่อนร่วมงานของเขาพบว่าการเมทิลเลชันสามารถคาดการณ์การตอบสนองของภูมิคุ้มกันในอนาคตได้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์ชีวิตมีบทบาทสำคัญต่อการตอบสนองของร่างกายต่อโรคในอนาคต