เมื่อใดจึงจะเหมาะสมสำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งเต้านมในการผ่าตัดเต้านมเพื่อป้องกัน?

นักวิจัยจาก Queen Mary University และ London School of Hygiene & Tropical Medicine กล่าวว่า ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมควรได้รับการส่งตัวไปรับการผ่าตัดเต้านมมากขึ้น

ผลการวิเคราะห์ใหม่พบว่าการผ่าตัดเป็นวิธีที่คุ้มค่าในการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมเมื่อเทียบกับการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมและการรักษาด้วยยา แนวทางปฏิบัติในปัจจุบันเกี่ยวกับผู้ที่ควรได้รับการผ่าตัดเต้านมอาจจำเป็นต้องมีการปรับปรุงโดยคำนึงถึงหลักฐานใหม่นี้

การวิเคราะห์ดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสารJAMA Oncology

ปัจจุบันแพทย์ใช้แบบจำลองการพยากรณ์ความเสี่ยงเฉพาะบุคคล ซึ่งผสมผสานข้อมูลทางพันธุกรรมและข้อมูลอื่นๆ เพื่อระบุผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม ผู้หญิงแต่ละคนจะได้รับทางเลือกต่างๆ เช่น การตรวจแมมโมแกรม การตรวจเอ็มอาร์ไอ การผ่าตัด และการใช้ยา โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงของแต่ละคน

การผ่าตัดเต้านมเพื่อการป้องกัน (PRM) แนะนำสำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง แต่ในทางปฏิบัติ จะทำเฉพาะกับผู้ที่มีการกลายพันธุ์ (หรือที่เรียกว่า pathogenic variants) ในยีนที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค BRCA1, BRCA2, PALB2 เท่านั้น

ศาสตราจารย์ Ranjit Manchanda จาก Queen Mary University of London, ดร. Rosa Legood จาก London School of Hygiene & Tropical Medicine และเพื่อนร่วมงานจาก University of Manchester และ Peking University ได้พัฒนาแบบจำลองการประเมินเศรษฐศาสตร์ใหม่เพื่อระบุระดับความเสี่ยงที่การผ่าตัดเต้านมจะคุ้มทุนมากขึ้น

ในการสร้างแบบจำลองของพวกเขา นักวิจัยใช้เกณฑ์ของสถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพและการดูแล (NICE) เพื่อพิจารณาความคุ้มทุนของการรักษา

แบบจำลองแสดงให้เห็นว่าการผ่าตัดเต้านมเป็นหัตถการที่คุ้มค่าสำหรับผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงตลอดชีวิตในการเป็นมะเร็งเต้านม 35% หรือมากกว่า การให้การผ่าตัดเต้านมเพื่อป้องกันในกลุ่มผู้หญิงเหล่านี้อาจสามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้ประมาณ 6,500 ราย จากจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในสหราชอาณาจักร 58,500 รายต่อปี

ศาสตราจารย์มานจันดา ศาสตราจารย์ด้านมะเร็งวิทยาทางนรีเวชและที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยาทางนรีเวช กล่าวว่า:

เป็นครั้งแรกที่เราได้ระบุระดับความเสี่ยงที่ควรได้รับการผ่าตัดเต้านมเพื่อป้องกัน
ผลการวิจัยของเราอาจมีนัยสำคัญทางคลินิก เพื่อขยายการเข้าถึงการผ่าตัดเต้านมให้ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อการกลายพันธุ์ในยีนที่แทรกซึมได้สูง เช่น BRCA1, BRCA2, PALB2 ซึ่งอาจป้องกันมะเร็งเต้านมได้มากถึง 6,500 รายในสตรีในสหราชอาณาจักรในแต่ละปี เราขอแนะนำให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินการเข้ารับการผ่าตัด ความตั้งใจ และผลกระทบระยะยาวของการผ่าตัดเต้านมเพื่อป้องกันในกลุ่มนี้

ดร. เลอกูด รองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพที่ London School of Hygiene & Tropical Medicine กล่าวเสริมว่า:

การผ่าตัดเต้านมเพื่อป้องกันโรคเป็นวิธีที่คุ้มค่าสำหรับผู้หญิงอายุ 30 ถึง 55 ปี ที่มีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมตลอดชีวิต 35% หรือมากกว่า ผลการวิจัยนี้อาจขยายการเข้าถึงกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงเฉพาะบุคคล และช่วยให้ผู้หญิงเข้าถึงมาตรการป้องกันได้มากขึ้น

ดร. วินีต ราชกุมาร์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Rosetrees กล่าวว่า:

Rosetrees รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยอันเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีศักยภาพที่จะส่งผลดีต่อชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก

การศึกษาใช้ข้อมูลจากผู้หญิงอายุระหว่าง 30 ถึง 60 ปี ที่มีความเสี่ยงตลอดชีวิตเป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ 17 ถึง 50 ที่ได้รับการผ่าตัดเต้านมป้องกัน หรือได้รับการคัดกรองมาตรฐานและการใช้ยาป้องกัน ตามแบบจำลองการคาดการณ์ความเสี่ยงที่มีอยู่

มาตรฐาน NICE กำหนดว่าการรักษานั้นคุ้มค่าหากให้ชีวิตที่มีสุขภาพดีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี โดยมีค่าใช้จ่ายไม่เกิน 20,000–30,000 ปอนด์ต่อคนไข้หนึ่งคน (เกณฑ์ที่เรียกว่าเกณฑ์ความเต็มใจที่จะจ่าย หรือ WTP) แบบจำลองของนักวิจัยใช้เกณฑ์สูงสุดที่ 30,000 ปอนด์ต่อ QALY (ปีชีวิตที่ปรับตามคุณภาพ)